บิลล์ แชงคลีย์ เคยกล่าวถึง รอน เยตส์ ว่าเขาเก่งขนาดที่ลิเวอร์พูลสามารถให้ อาร์เธอร์ แอสกี้ ยืนเฝ้าเสาประตูได้ หากแชงคลีย์ได้เห็น ฟาน ไดจ์ค ในช่วงพีคของเขา คงต้องเสริมอีกว่าเขาอาจให้ ลอเรล และ ฮาร์ดี้ ยืนแบ็คสองฝั่งก็ยังได้
ฟาน ไดจ์ค เพิ่งนำทีมคว้าชัยในแชมเปียนส์ลีกนัดที่ 7 ติดต่อกัน การันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ความสามารถของเขาทำให้การเรียกเขาว่า “กองหลังที่ดีที่สุด” กลายเป็นคำที่ยังต่ำกว่าความเป็นจริง
ฟาน ไดจ์ค ไม่ได้เป็นแค่กองหลังที่ยอดเยี่ยม แต่เขาคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก
ในยุคที่ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังมักไม่ได้รับการยอมรับเท่ากองหน้า หรือเพลย์เมกเกอร์ รางวัลและคำชื่นชมมักตกอยู่ที่ผู้เล่นที่ทำประตูหรือสร้างโอกาสเท่านั้น แต่ความยิ่งใหญ่ของฟาน ไดจ์คแสดงให้เห็นว่ากองหลังก็สามารถเป็นผู้เล่นระดับตำนานได้
ความเป็นเลิศทั้งในเกมรับและการเล่นเกมรุก
ฟาน ไดจ์ค ไม่ใช่แค่ผู้เล่นที่ป้องกันในแดนหลัง แต่เขายังเป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกจากแนวลึก ด้วยการจ่ายบอลยาวที่แม่นยำและวิสัยทัศน์ในการอ่านเกม ซึ่งเปรียบเสมือนการชมผลงานศิลปะในสนามฟุตบอล
ในเกมล่าสุดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะลีลล์ 2-1 ฟาน ไดจ์ค แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ทั้งในฐานะกัปตันและกองหลังตัวหลัก แม้ทีมจะเสียประตูแรกในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ แต่ความนิ่งและความมุ่งมั่นของเขาทำให้ทีมเก็บชัยชนะได้ในที่สุด
การจดจำในฐานะผู้เล่นระดับตำนาน
ฟาน ไดจ์ค คือผู้เล่นที่นักฟุตบอลรุ่นใหม่จะศึกษาและเรียนรู้ เขาคือตัวอย่างของกองหลังที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านร่างกาย ความเร็ว และความสามารถทางเทคนิค
ไม่ว่า ฟาน ไดจ์ค จะได้รับบัลลงดอร์หรือไม่ เขาคือหัวใจสำคัญของลิเวอร์พูลในยุคนี้ และชื่อของเขาจะถูกจดจำในฐานะหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ฟาน ไดจ์ค พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
“ผู้เล่นที่ดีไม่ได้วัดจากตำแหน่งที่เล่น แต่วัดจากผลกระทบที่มีต่อทีมและเกมการแข่งขัน”