
เป๊ป กวาร์ดิโอลา เตรียมนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกสถานการณ์ในการแข่งขันเลกที่สองของแชมเปียนส์ลีกกับเรอัล มาดริด ที่เบร์นาเบว เพื่อลุ้นผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก้าวเข้าสู่สนามซานติอาโก เบร์นาเบว ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องพลิกสถานการณ์ที่เป็นรอง ทั้งในแง่ของสกอร์และตรรกะ ในสถานที่พิเศษแห่งนี้ ซึ่งมักจะเกิดปาฏิหาริย์ที่เป็นของ เรอัล มาดริด เท่านั้น
เขาเคยสัมผัสทุกอารมณ์ในสนามแห่งนี้ จากการเดินทางบนเส้นทางแชมเปียนส์ลีก ไม่ว่าจะกับ บาร์เซโลนา, บาเยิร์น มิวนิค หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
คืนวันพุธนี้ กวาร์ดิโอลาจะได้เผชิญหน้ากับเพื่อนและคู่แข่งตลอดกาลของเขา คาร์โล อันเชล็อตติ เฮดโค้ชของเรอัล มาดริด อีกครั้ง โดยรู้ดีว่า หากเขาพาทีมพลิกสถานการณ์ได้ จะนับเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

กวาร์ดิโอลาประเมินโอกาสของซิตี้ในการพลิกกลับมาชนะ หลังจากแพ้เลกแรก 2-3 ว่าอยู่ที่ “1%” เท่านั้น
แต่หากลองฟังความเห็นของแฟนบอลท้องถิ่นในเมืองที่มีขบวนแห่ฉลองแชมป์แชมเปียนส์ลีกมากที่สุดในโลก หลายคนมองว่า กวาร์ดิโอลานั้นมองโลกในแง่ดีเกินไป
เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าสื่อที่เบร์นาเบว สถานที่ที่เคยเป็นอาณาเขตของศัตรูสมัยเขาเล่นและคุมทีมบาร์เซโลนา กวาร์ดิโอลาส่งข้อความชัดเจน
“เราต้องเล่นให้สมบูรณ์แบบเกือบทุกจังหวะ” เขากล่าว “เราต้องบุก เราต้องยิงประตู นี่คือแนวทางที่เราต้องเล่น”
กวาร์ดิโอลามุ่งมั่นว่า ซิตี้ จะต้องไม่กลับออกจากเบร์นาเบวด้วยความเสียใจหรือความรู้สึกเสียดาย โดยกล่าวว่า “เราต้องเล่นด้วยความกล้าหาญ ต้องเป็นตัวของตัวเอง ต้องกล้าเล่นและเล่นเพื่อชัยชนะ”
“เราอาจจะแพ้ได้ แต่เราต้องเล่นให้เต็มที่ ต้องกล้าหาญ และต้องเป็นตัวของตัวเอง เราต้องเล่นให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเรามีผลการแข่งขันจากเลกแรกที่เป็นรอง”
สถิติของ Opta ชี้ว่า โอกาสที่ซิตี้จะเข้ารอบอยู่ที่ 19.8% ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่กวาร์ดิโอลาประเมินไว้ แต่หากมองผ่านประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริดในรายการนี้ รวมถึงความสามารถพิเศษของพวกเขาในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์กดดัน เปอร์เซ็นต์ที่ว่าก็อาจลดลงไปอีก
กวาร์ดิโอลามีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่กับซิตี้ในการเจอกับเรอัล มาดริด โดยเริ่มต้นด้วยการชนะรอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2020 แม้ว่าการแข่งขันสองเลกจะถูกเลื่อนออกไปหกเดือนเพราะโควิด-19
ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในรอบรองชนะเลิศปี 2022 เมื่อซิตี้นำอยู่สองประตูในนาทีที่ 90 แต่ โรดรีโก้ ยิงสองประตูในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ คาริม เบนเซมา จะซัดจุดโทษในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งเรอัลเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์เหนือ ลิเวอร์พูล ที่ปารีส
อย่างไรก็ตาม เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็สามารถล้างแค้นได้เมื่อปี 2023 ด้วยการถล่มเรอัล มาดริด 5-1 ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพาแมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีกสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
“ผมมีความทรงจำที่เหลือเชื่อมากมายที่นี่ บางครั้งเป็นความทรงจำที่ดี บางครั้งก็ไม่ดีนัก” กวาร์ดิโอลากล่าว
“ในช่วงเวลานี้ของการแข่งขัน และที่สนามแห่งนี้ ความกดดันเป็นเรื่องปกติ คุณจะเจอแรงกดดันในมิลาน, บาร์เซโลนา หรือที่แอนฟิลด์ มันเป็นสิ่งที่ต้องเจอ แต่เราต้องลดช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นลงให้ได้”
ชัยชนะอันเหลือเชื่อของเรอัล มาดริด เหนือซิตี้ในปี 2022 เป็นเหมือนฟ้าผ่าที่ กวาร์ดิโอลา หวังจะย้อนคืนกลับไปให้ได้ แต่ภารกิจครั้งนี้อาจยากขึ้นกว่าเดิม เพราะทีมของเขากำลังถดถอยในฤดูกาลนี้ หลังจากเสียความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีกที่เคยคว้าแชมป์สี่สมัยติดต่อกัน และกำลังเสี่ยงที่จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี

อันเชล็อตติ ซึ่งเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแชมเปียนส์ลีกด้วยการคว้าแชมป์ถึง 5 สมัย ไม่ตกหลุมพรางของกวาร์ดิโอลา เมื่อถูกถามเรื่องเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ในการเข้ารอบ
“เขาไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ หรอก เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเรามีโอกาส 99% เรามีความได้เปรียบเพียงเล็กน้อย และเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์” อันเชล็อตติกล่าว
กวาร์ดิโอลาตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งแรกเลยนะที่เขาไม่เชื่อผม ผมพูดเสมอในสิ่งที่คิด แต่ครั้งนี้คุณกลับไม่เชื่อ”
สถิติต่าง ๆ เป็นอุปสรรคขวางหน้าซิตี้อย่างชัดเจน หลังจากเรอัล มาดริด เคยชนะเลกแรกของรอบน็อกเอาต์ในยุโรปเมื่อเล่นเป็นทีมเยือนมาแล้ว 40 ครั้ง และสามารถผ่านเข้ารอบถึง 37 ครั้ง
ขณะที่แมนฯ ซิตี้ เคยแพ้เลกแรกของรอบน็อกเอาต์ในแชมเปียนส์ลีกมาแล้ว 5 ครั้ง และทุกครั้งพวกเขาก็ไม่เคยพลิกกลับมาเข้ารอบได้เลย
สำหรับอันเชล็อตติ นี่จะเป็นครั้งที่ 10 ที่เขาเผชิญหน้ากับกวาร์ดิโอลาในแชมเปียนส์ลีก โดย 8 ครั้งเป็นการพบกันระหว่างเรอัล มาดริด กับ แมนฯ ซิตี้ โดยที่อันเชล็อตติชนะ 4 จาก 9 ครั้ง และไม่เคยแพ้เมื่อเล่นในบ้าน ชนะ 2 เสมอ 2
ซิตี้เองก็ต้องเผชิญกับฟอร์มนอกบ้านที่ไม่ดีนัก โดยพวกเขาแพ้เกมเยือนในแชมเปียนส์ลีก 3 นัดหลังสุดต่อ สปอร์ติ้ง, ยูเวนตุส และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
อย่างไรก็ตาม กำลังใจของกวาร์ดิโอลาอาจเพิ่มขึ้นหลังจากถล่ม นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 4-0 เมื่อวันเสาร์ โดยมี โอมาร์ มาร์มูช ดาวเตะอียิปต์รายใหม่ ยิงแฮตทริกในเวลาเพียง 14 นาที ขณะที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ก็ทำประตูแรกของเขาใส่เรอัล มาดริด ในเลกแรก
เกมนี้อาจเป็นเกมสุดท้ายในแชมเปียนส์ลีกของนักเตะอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน และ เอแดร์ซอน กับแมนฯ ซิตี้ หรือแม้แต่ แบร์นาโด้ ซิลวา และ มาเตโอ โควาซิช ที่อายุก้าวเข้าสู่เลขสามแล้ว
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อนาคตของพวกเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว ในค่ำคืนที่เบร์นาเบว
และหากกวาร์ดิโอลาสามารถพลิกสถานการณ์ที่เป็นรอง 1% ให้เป็นชัยชนะได้ มันจะเป็นหนึ่งในค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
ที่มา https://www.bbc.com/